วันพฤหัสบดีที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ฟีโรโมน

ฟีโรโมน หรือ น้ำหอมฟีโรโมน ปัจจุบันมีการนำมาใช้งานอย่างแพร่หลาย ทางเรานำบทความที่น่าสนใจเกี่ยวกับกลิ่น และการใช้ฟีโรโมน มาแนะนำค่ะ

ชีวิตกำเนิดจากกลิ่น ประสาทรับกลิ่นเป็นระบบประสาทสัมผัสดั้งเดิมของมนุษย์ที่พร้อมใช้มาตั้งแต่แรกเกิด แม้ตายังมองไม่เห็น แต่ประสาทรับกลิ่นนี่แหละที่ช่วยให้เด็กน้อยทราบตำแหน่งเต้านมแม่และสามารถดูดนมเป็นอาหารได้ ไม่เพียงแค่ช่วยให้ทารกได้อิ่มท้อง ที่จริงแล้วชีวิตน้อยๆ อาจมีต้นกำเนิดจากการที่พ่อและแม่ของเขาได้กลิ่นกันและกันก็เป็นได้ กลิ่นตัวของคนเราเกิดจากต่อมสร้างกลิ่นชื่อ อะโปไครน์ (Apocrine glands) ซึ่งพบมากที่อวัยวะเพศ รักแร้ และเต้านม ต่อมนี้จะหลั่งสารคล้ายน้ำมูกที่ไม่มีกลิ่นออกมา พอแบคทีเรียธรรมดาๆ ที่ผิวหนังไปกินสารเหล่านี้เป็นอาหารและขับถ่ายสารที่มีกลิ่นออกมา ก็จะเกิดกลิ่นเฉพาะตัวบุคคลขึ้น ในวัยหนุ่มสาวฮอร์โมนเพศขยันทำงานเป็นพิเศษ จึงสร้างกลิ่นธรรมชาติที่มีพลังยั่วยวนทางเพศเรียกว่า ฟีโรโมน(Pheromons) มากกว่าวัยอื่นๆ สำหรับสัตว์บกเพศเมีย รวมทั้งผู้หญิงช่วงกลางรอบเดือนหรือช่วงไข่ตกจะเป็นช่วงที่ธรรมชาติสั่งให้ร่างกายผลิตฟีโรโมนมากที่สุด ทั้งนี้ก็เพื่อดึงดูดเพศตรงข้ามให้มีเซ็กซ์ตามธรรมชาติเพื่อเพิ่มจำนวนประชากร ฟีโรโมนจึงถูกเปรียบเปรยว่าเป็นกลิ่นเรียกคู่ อย่างไรก็ตามฟีโรโมนไม่มีความเกี่ยวเนื่องกับรูปร่างหน้าตา และใช่ว่าฟีโรโมนของหญิงสาวหน้าตาดีจะยั่วยวนผู้ชายได้ทุกคน ความจริงก็คือแต่ละคนมีปฏิกิริยาตอบรับฟีโรโมนต่างกัน เช่นเดียวกับกลิ่นซึ่งคนหนึ่งรู้สึกว่าหอม แต่ก็อาจจัดว่าเหม็นสำหรับอีกคน คนสองคนที่ดึงดูดกันด้วยกลิ่นหรือฟีโรโมนจึงนับว่าเป็นคู่ที่มีความดึงดูดกันโดยธรรมชาติ สิ่งที่น่าสนใจคือฟีโรโมนจะไม่มีอิทธิพลเหนือเจ้าของกลิ่น นอกจากนี้ญาติมิตรสายที่ใกล้ชิดกันมักไม่ได้กลิ่นฟีโรโมนระหว่างกันและกัน ซึ่งอาจเป็นผลมาจากกลไกธรรมชาติที่ต้องการสนับสนุนให้มีเพศสัมพันธ์ในคนต่างพันธุกรรมกันมากกว่า

สนใจเรื่องราวเกี่ยวกับฟีโรโมน ติดตามต่อได้ที่ ฟีโรโมน

วันพฤหัสบดีที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ความเป็นมาของน้ำหอม

เราเชื่อกันว่านํ้าหอมนั้นเกิดขึ้นมานานแล้ว จากหลักฐานภาพวาดจิตรกรรม ฝาผนังตอนหนึ่งที่วิหารของพระราชินี Hatshepsut ที่เมือง Thebes ในประเทศ Egypt ที่เป็นรูปของหญิงสาวชาวอิยิปต์โบราณกำลังโชลม นํ้าหอมลงบนศรีษะ ซึ่งได้แสดงให้เห็นว่ามีการใช้นํ้าหอม กันแล้วในยุคนั้น ซึ่งคาดว่านักเดินเรือชาวอิยิปต์ได้ไปนำมาจาก ดินแดนอื่น นํ้าหอมในสมัยโบราณนั้นจะทำมาจากยางไม้หอม ซึ่งยางไม่หอมแบบนี้จะมีอยู่ที่ Arabia และ Somalia เท่านั้น คำว่า "Perfume" นี้มีรากศัพท์มาจากภาษา ละติน ที่แปลว่า "ควัน" ในกรีก (Greek) โบราณคนที่ทำนํ้าหอมนั้นจะเป็นผู้หญิง ซึ่งได้ปรับปรุง มรดกการทำนํ้าหอมที่ตกถอดมาจากชาวอียิปต์โบราณให้พัฒนาดีขึ้นไป ในช่วงเวลาของจักรวรรดิโรมัน (Roman) การทำนํ้าหอมเขาจะใช้ยางไม้หอม จากต้นไม้จำพวก Boswellia โดยสั่งนำเข้ามาจาก Arabia และได้บวกกับส่วนผสม ที่ได้มาจากทะเลจากประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นส่วนผสมใหมที่ใส่ลงไปในการทำนํ้าหอม ของชาวโรมันในสมัยนั้น เศรษฐีชาวโรมันจะใช้นํ้าหอมตามความพอใจ ชนิดที่เรียกได้ว่าใช้แบบล้างผลาญ เลยก็ว่าได้ นั่นก็คือ พวกเศรษฐีเหล่านี้จะเอานํ้าหอมไปพ่นและฉีดตามพื้นและกำแพง บ้านของตัวเอง และนอกจากนี้ยังนำนํ้าหมไปฉีดให้กับสัตว์เลี้ยงของบรรดาเศรษฐี อีกด้วยไม่ว่าจะเป็น สุนัข และ ม้า

แต่ก้าวสำคัญในประวัติศสาตร์ของนํ้าหอม แล้วนั้นจะเกิดขึ้นในยุคกลาง (Middle ages) เมื่อชาวอาหรับ (Arabs) ได้คิดค้นพัฒนา เทคนิคในการ กลั่นนํ้าหอมได้เป็นผลสำเร็จ พื้นที่ ขนาดใหญ่โตของอาณาจักรเปอร์เซีย ได้ทำการ ปลูกดอกกุหลาบ เพื่อที่จะนำมาสกัดเป็นนํ้าหอม เนื้อที่ที่ใช้ปลูก ดอกกุหลาบนี้ใหญ่โตมหาศาล มาก จนถึงกับมี เรื่องเล่าขานกันว่า "กรุง Baghdad" (เมืองหลวงของประเทศอิรักในปัจจุบัน) ในสมัยนั้นได้สมญานาม ที่เรียกขานกันว่า "City of Fragrances" นอกจากนี้ชาวอาหรับยังได้ค้นพบ ส่วนผสมตัวใหม่ในการทำ นํ้าหอมอีกด้วยนั่นก็คือ สารที่ได้จากตัวชะมด หรือ กลิ่น ชะมดนั่นเอง

ชาวอาหรับได้นำเจ้ากลิ่นชะมดนี้ไปผสมกับปูนขาว และพวกเขาก็นำ ปูนขาวที่ได้นี้ไปใช้สร้างสุเหร่า (Mosque) และพระราชวัง ซึ่งก็ทำให้ได้สุเหร่า และพระราชวังที่มีกลิ่นหอมไปทั่วทั้งเมือง และนี่คืออีกหนึ่งที่มาจากเรื่องเล่าถึงคำว่า "City of Fragrances" นั่นเอง

ในช่วงสมัยของ Crusaders ได้นำเครื่องหอมจาก อาหรับไปให้ชาวยุโรปได้รู้จัก แต่สำหรับก้าวแรกของนํ้าหอม ในยุโรปนั้นเริ่มจริงๆก็ในศตรวรรษที่ 16 เมื่อ แคทเธอรีน เดอ เมคิชี่ (Catherine de Medici) มาที่ประเทศ Italy เพื่อที่จะแต่งงานกับอนาคตกษัตริย์ในช่วงนั้น จากนี้ไปนํ้าหอม ก็พัฒนาไปเรื่อยๆ จนกระทั่งในต้นศตรวรรษที่ 19 ได้มีนักเคมีได้ทำการสังเคราะห์นํ้าหอมจาก สารเคมีจนได้กลิ่น ต่างๆ มากมายหลายพันกลิ่น จนกระทั่งนํ้าหอมได้กระจายไปทั่ว จนเป็นอุตสาหกรรม ขนาดใหญ่อย่างที่เห็นในปัจจุบัน Ingredients-กลิ่นน้ำหอมผู้คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่า กลิ่นของนํ้าหอมที่ได้จากต้นไม้นั้น มักจะมาจากดอกไม้ แต่น่าประหลาดใจมาก ส่วนอื่นๆของต้นไม้นั้น เราก็นำมาใช้ทำนํ้าหอมได้ ไม่ว่าจะเป็น ลำต้น ใบไม้ เนื้อไม้ ผล เมล็ด เปลือก และ ยางไม้ นอกจากส่วนต่างๆที่กล่าวมานี้นั้น

ขอบคุณบทความดีๆค่ะ : pheromist.com น้ำหอมฟีโรโมน